ทุกครั้งที่คุณไปหาทันตแพทย์ สิ่งที่ทันตแพทย์ย้ำประจำนอกจากการแปรงฟันให้สะอาด ‘การใช้ไหมขัดฟัน’ เป็นอีกตัวช่วยใหญ่ที่ลดโอกาสการฟันผุได้ และยังลดโอกาสของโรคอื่น ๆ อีกด้วย
ถ้าไม่ใช้ฟลอสจะเกิดอะไรขึ้น
อ่านต่อได้ที่ https://www.dentiste-oralcare.com/what-happen-if-you-dont-floss/
วันนี้เรามาดูเรื่องราวของ Floss (ไหมขัดฟัน) กันดีกว่าว่า เป็นมาอย่างไร
มนุษย์มีการประดิษฐ์เครื่องมือ เครื่องใช้มาเป็นระยะเวลานาน ตั้งแต่ก่อนประวัติกาล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ความเป็นอยู่ของตนเอง รวมถึงมนุษย์ได้คิดค้นสิ่งที่ดูแลช่องปากตั้งแต่ก่อนที่จะคิดค้นแปรงสีฟัน มนุษย์ในสมัยโบราณกาลใช้ ‘ไม้ขัดฟัน (chewsticks)’ เพื่อทำความสะอาดฟัน และกว่าจะพัฒนาจนเกิดไหมขัดฟัน เกิดอะไรขึ้นบ้าง

น่าสนใจที่พฤติกรรมของลิงมีการนำวัตถุแบบเส้นมาขัดฟัน
– เช่นเดียวกับการใช้ไหมขัดฟัน
ไม้จิ้มฟันโบราณ (Ancient Toothpicks)
นักโบราณคดีได้ค้นพบสิ่งที่นอกจากไม้ขัดฟัน (chewsticks) คือ แท่งไม้ขนาดเล็กที่มีปลายแหลม 2 ด้าน สิ่งนี้ถูกเชื่อว่าเป็นวัตถุที่นำไปขัดตรงช่องระหว่างฟัน แต่ไม้ขัดฟัน (chewsticks) บางชิ้นก็มีปลายแหลมอีกด้านเพื่อที่จะดูแลช่องปากทั้งขัดฟันผิวด้านหน้าและด้านข้างได้ ภายในแท่งเดียว
ไหมขัดฟันยุคแรกจากขนจากม้า (Horse Hair)
ในช่วงยุคโบราณ ปรากฎให้เห็นการใช้ไม้ขัดฟันและไม้จิ้มฟันได้จำนวนมาก และไม่น่าเชื่อว่า ขนม้า (Horse Hair) เป็นต้นกำเนิดของไหมขัดฟัน (Dental Floss) ในปัจจุบันและยังพบเส้นขนของม้าว่า ถูกนำไปใช้เป็นขนของแปรงสีฟันในยุคเริ่มต้น


ไหมขัดฟันจากเส้นไหม (Silk Dental Floss)
จุดเริ่มต้นของไหมขัดฟันอย่างจริงจัง คาดว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 1815 จาก ดร.ปาร์มลี (Dr. Levi Spear Parmly) ทันตแพทย์ที่ นิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา เขาสนับสนุนให้คนไข้เริ่มขัดฟันด้วยเส้นไหมเคลือบขี้ผึ้ง (floss with a waxed silken) ซึ่งมีลักษณะคล้ายเส้นด้ายที่มีอยู่แล้วในท้องตลาด ณ ขณะนั้น
หลังจากนั้นถัดมาในปี 1819 ดร.ปาร์มลีได้ออกหนังสือที่เรียกว่า “A Practical Guide to the Management of Teeth” ที่มีเนื้อหาชักชวนคนอ่านให้สร้างพฤติกรรมดูแลฟันที่ดี อย่างการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งและใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้ง

เส้นไหมเคลือบขี้ผึ้ง
เส้นด้ายที่มีในท้องตลาดก็สามารถใช้แทนไหมขัดฟันในสมัยก่อนได้
ไหมไนลอน Nylon
นำมาใช้แทนไหมขัดฟันในช่วงที่สินค้าไหมขึ้นราคาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ไหมขัดฟันเข้าสู่ตลาดและเกิดการจดสิทธิบัตร
ในปี 1882 บริษัท Codman และ Shutleff ผลิตไหมขัดฟันจำนวนมากในลักษณะอุตสาหกรรมที่เป็น เส้นไหมที่ไม่เคลือบขี้ผึ้ง (unwaxed silk floss) และในปี 1898 บริษัท Johnson & Johnson จดสิทธิบัตรไหมขัดฟันและเริ่มผลิตไหมขัดฟันที่มีหลากหลายประเภททั้งชนิดเคลือบขี้ผึ้ง ไม่เคลือบขี้ผึ้งและใช้เส้นไหมขัดฟันจากเส้นด้ายชนิดเดียวกันที่นำไปใช้เย็บแผลของผู้ป่วย
อิทธิพลของสงครามมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบของไหมขัดฟัน
ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ราคาของไหมขัดฟันพุ่งทะยานสูงขึ้นเป็นอย่างมาก ส่งผลให้ต้นทุนของการผลิตของไหมขัดฟันสูงขึ้นตามไปด้วย สินค้าไหมขัดฟันจึงกลายเป็นสินค้าราคาแพง ดังนั้นดร. เบส (Dr. Charles Bass) บิดาแห่งทันตกรรมป้องกัน (father of preventative dentistry) จึงเสนอและปรับเปลี่ยนไหมขัดฟันจาก ‘เส้นไหม’ กลายเป็นเส้น ‘ไนลอน (nylon)’
Fun fact: ดร.เบส ได้ชื่อว่า บิดาแห่งทันตกรรมป้องกันจากการที่เขาผลักดัน สนับสนุนแนวคิดอย่างแรงกล้า ในเรื่องของการดูแลฟัน อย่างการแปรงฟันวันละ 2 ครั้งและการใช้ไหมขัดฟันวันละครั้ง ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับมาจาก ดร.ปาร์มลี (Dr. Levi Spear Parmly)
ไหมขัดฟันในในยุคโมเดิร์น
ทุกวันนี้ ไหมขัดฟันปรากฎให้เห็นหลากหลายรูปแบบ ทั้งสี ขนาด รูปร่างและกลิ่น ที่สามารถเข้าได้กับช่องปากที่มีความแตกต่างกัน ทั้งช่องปากที่อ่อนแอ ดัดฟัน หรือคนฟันห่าง ก็มีใหม่ขัดฟันที่สามารถดูแลสุขภาพช่องปากได้ดี

ไหมขัดฟันในปัจจุบัน
มีให้เลือกหลากหลายเฉดสี กลิ่นและรูปแบบ
การขัดฟันไม่ใช่เรื่องที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ต้องทำทุกวัน
เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดี

ไหมขัดฟันไม่ใช่สิ่งที่ทำหรือไม่ทำก็ได้ แต่ต้องทำทุกวันเป็นประจำ
อย่างที่ ดร.ปาร์มลีกับ ดร.เบสที่แนะนำ เป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างมากจริง ๆ ที่ต้องใช้ไหมขัดฟันวันละ 1 ครั้งและแปรงฟันวันละ 2 ครั้งเพื่อให้สุขภาพช่องปากแข็งแรง ลดโอกาสของโรคที่ตามมา
เพราะราคาไหมขัดฟันกับราคาการรักษาฟันต่างกันเยอะ ลองหาไหมขัดฟันที่เหมาะกับคุณดูสิ



